Trader คืออะไร
December 5, 2018
fibonacci
December 7, 2018

Inverted Yield Curve

คำว่า Bond Yield (อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร) เริ่มมีการพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งรวมไปถึงมีการนำอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุต่างๆ มาลบกันอีก ทำให้สงสัยว่ามันคืออะไรเลยลองหาข้อมูลและนำมาอธิบายกันว่าใช้เพื่ออะไร เกิดอะไรขึ้น พร้อมทั้งยกตัวอย่างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาให้ดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างและนักลงทุนอย่างเราควรทำอย่างไร เรามาดูไปด้วยกันครับ!!
Inverted Yield Curve
คือ สภาวะที่อัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น “มากกว่า” อัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว ปกติจะเกิดขึ้นกับพันธบัตรรัฐบาล ตัวอย่างเช่น Yield ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี สิ่งที่ควรจะเป็นคือ Yield ของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวควรมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น เพราะการนำเงินมาลงทุนไว้ในพันธบัตรด้วยระยะเวลาที่นานกว่า ควรได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า
แล้ว Inverted Yield Curve สื่ออะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร?
สิ่งๆ นี้บ่งบอกว่านักลงทุนมีความต้องการลงทุนในพันธบัตรที่อายุยาวกว่าจน Yield ต่ำลงไปมากๆ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นดูจะไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง แต่สถานการณ์นี้หมายความว่า นักลงทุนพอใจกับการลงทุนถือพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น เพราะนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ยลง ซึ่งเตือนว่าสภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมา สัญญาณเตือนวิกฤตเริ่มขึ้น ความกังวลว่าเศรษฐกิจระยะสั้นจะผันผวน (ไม่รู้ว่าจะได้เงินลงทุนคืนหรือเปล่าเมื่อครบอายุ) อีกทั้งต้องการ Yield ที่สูงเก็บเอาไว้ในช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง ดังนั้นนักลงทุนจะเข้าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุยาวกว่าไปเรื่อยๆ Yield ลดลงจนต่ำกว่า Yield ของพันธบัตรที่มีอายุสั้นกว่า เรียกว่า Inverted Yield Curve สิ่งที่ตลาดสนใจคือ ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นและยาว เช่น ส่วนต่างระหว่าง Yield ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี และ 10 ปี คือ นำ Yield พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลบกับ Yield พันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี เรียกสั้นๆ ว่า 2-10 Spread ซึ่งมักติดลบเมื่อเกิด Inverted Yield Curve

แล้วควรทำอย่างไรเมื่อ Inverted Yield Curve เกิดขึ้น?

แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถควบคุมได้ แน่นอนเราต้องเผชิญกับวิกฤตแน่นอนสักครั้งเราทำได้เพียงแค่ปรับตัว รับมือสถานการณ์ ถ้าสังเกตดูจะพบว่า Inverted Yield Curve จะไม่คงอยู่ตลอดไป แต่จะเกิดก่อนมีวิกฤตสักประมาณ 6-12 เดือน เท่ากับว่านี่คือสัญญาณเตือนอย่างหนึ่ง แล้วเราจะปรับตัวอย่างไรดี? สิ่งหนึ่งที่ตอบได้ดีที่สุดคือ การจัดพอร์ตการลงทุน และการปรับตัวคือ มีการกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์อยู่แล้วรวมทั้งเก็บเงินนำมาลงทุนสม่ำเสมอ และพร้อมปรับสัดส่วนของสินทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ต สุดท้ายนี้ กล่าวได้ว่า Inverted Yield Curve ไม่ใช่ต้นเหตุของการเกิดวิกฤต หากแต่คล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนภัย การจะเกิดวิกฤตต้องมีหลายปัจจัยมาประกอบด้วย เช่น หนี้ที่มากเกินไป การกู้ยืมเงินมาลงทุนแบบหมดหน้าตัก เป็นต้นอย่างไรก็ตาม สิ่งๆ นี้ได้เกิดขึ้นก่อนเกิดวิกฤตมาแล้ว 3 รอบเป็นอย่างน้อย ดังนั้นเราคงต้องใช้ Inverted Yield Curve เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาลงทุน รวมไปถึงปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนของทุกท่าน

Comments are closed.